19 มกราคม 2554

ความรักกับชีวิต



ความรักกับชีวิต
ของความเป็นนักสู้
ระพี สาคริก
..................................................................................................................
ขณะนี้ชีวิตฉันมีอายุ ๘๖ ปีแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งในอดีตขณะที่ฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง แม่ได้เล่าให้ฟังถึงคำปรารภของพ่อว่า “เขาเป็นลูกคนโต ถ้าเอาไว้กับเราก็คงไม่ดีเท่าที่ควร น้องๆ จะพึ่งไม่ได้”
ใช่แล้ว! ขณะนั้นพ่อกับแม่มีลูกอยู่ ๕ คน เป็นผู้ชายทั้งหมด และฉันก็เป็นลูกคนโตของพ่อกับแม่เสียด้วย
มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะนำมาเล่าให้เธอฟังถึงความคิดของพ่อในขณะนั้น จะว่าเป็นเรื่องน่าประทับใจก็ได้ หรือจะว่าเป็นความคิดที่แผลงๆ ก็เป็นได้เช่นกัน
พ่อชอบถ่ายรูป ซึ่งสมัยนั้นยังต้องใช้ฟิล์มกระจก พ่อจับลูกแก้ผ้ามายืนเรียงแถว ตั้งแต่คนโตจนกระทั่งถึงคนเล็กแล้วถ่ายรูปเอาไว้ ภาพนี้ยังตั้งอยู่ที่หัวนอนแม่ ทำให้ฉันรู้สึกขายหน้าทุกครั้งที่มีแขกมาหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยที่ฉันเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แล้วมีนิสิตสาวๆ เข้ามาหาแม่เป็นกลุ่มๆ
อนึ่ง หวนกลับไปนึกถึงคำปรารภของพ่อตั้งแต่ช่วงที่ฉันยังเป็นเด็ก โดยคิดที่จะเอาลูกชายคนนี้ซึ่งเป็นคนโตไปเผชิญกับความยากลำบาก สะท้อนให้เห็นว่า ชีวิตของพ่อได้ผ่านความยากลำบากมาอย่างโชกโชนจนกระทั่งทำให้หวนกลับมารู้คุณค่าของความจริงที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง คนยุคนี้ถ้าพ่อกับแม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากมาแล้วมักไม่ยอมให้ลูกต้องเผชิญกับความยากลำบากเหมือนตัวเอง แสดงให้เห็นว่าพ่อและแม่ของคนยุคนี้มีชีวิตที่ไม่ได้ผ่านพ้นความยากลำบากมาจนกระทั่งถึงจุดที่ควรจะสำนึกได้
ตามคำปรารภของพ่อที่นำปฏิบัติ ได้ทำให้ชีวิตฉันจำต้องพลัดพรากจากอกพ่อและแม่ไปอยู่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำและใช้นักเรียนปกครองกันเอง มาตั้งแต่อายุประมาณ ๗ ขวบ ซึ่งช่วงนั้นมันทำให้ชีวิตจำต้องอยู่ในสภาพอดๆ อยากๆ แสนสาหัส แถมยังถูกนักเรียนโตๆ รังแกแบบซ้อมตีนซ้อมมือ ครั้นไปฟ้องครูๆ ก็วางเฉย จึงทำให้ฉันซึ่งเป็นเด็กเล็กที่สุดในโรงเรียนจำต้องมีความอดทนสูงมาก
ยิ่งกว่านั้นเวลาอาหารสามมื้อ ก็ยังมีอาหารของโรงเรียนให้กิน พ่อจึงไม่ยอมจ่ายเงินคิดกระเป๋าให้ลูกคนนี้ด้วย
ครั้นเวลาผ่านพ้นมาอีกหนึ่งปี ชีวิตฉันก็ต้องเผชิญกับความยากลำบาก สูงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะพ่อเอาฉันไปฝากไว้กับครูของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งแน่นอนที่สุด คนที่เคารพนับถือซึ่งกันและกันย่อมมีความคิดเข้ากันได้เป็นธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อมาอยู่กับครูของพ่อ ฉันจึงต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับที่พักอาศัย ฉันต้องตื่นเช้ามืดตักน้ำใส่โอ่งใหญ่ๆ ให้เต็มรวมสามโอ่ง แล้วกวาดถูบ้านไม้สามชั้นโดยไม่ให้เปิดไฟ เพราะเกรงว่าคนอื่นเขาจะตื่น หลังจากนั้นจึงอาบน้ำแต่งตัว เข้ครัวกินข้าว เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน ถ้าเห็นว่าบ้านไม่ได้ถูกทำความสะอาดก็ต้องมาทำใหม่ทั้งหมด
จากนั้นจึงไปเรียนที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ซึ่งมีระยะทางสามกิโล และฉันเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยกรวดหินดิน มันก็หมดอาหารมื้อเช้า เมื่อถึงมื้อกลางวันฉันก็ต้องหาทาง จึงคุ้ยขยะเพื่อหาเศษอาหารมาบริโภค แม้กระทั่งใบตองฉันก็หยิบมาเพื่อหาเศษอาหารเอาใส่ปาก เพื่อบรรเทาความหิวโหย
หลังจากกลับมาบ้านแล้วก็ต้องทำงานให้เขาใช้ สับด้วยโขกด้วย จนกระทั่งหลายครั้งหลายหนที่ถูกเจ้าของบ้านสับเอาโขกเอา มันทำให้รู้สึกหวาดกลัวเอามากๆ อย่างไรก็ตามมันก็ต้องอดทนสู้กับใจตัวเองอย่างหนัก จนกระทั่งชีวิตผ่านพ้นมาได้ เสมือนทำให้รากฐานจิตใจตัวเองมันหยั่งลงสู่พื้นดินลึกซึ้งถึงอีกระดับหนึ่ง จนกระทั่งรู้สึกว่า “ความยากลำบากของชีวิตมันได้ปรับเปลี่ยนตัวเองจากความทุกข์มากลายเป็นความสุข” ทำให้ชีวิตในช่วงหลังๆ ของฉันเกิดความรู้สึกอันเป็นธรรมชาติขึ้นมาว่า “ที่ไหนมีความยากลำบาก ฉันกลับสนใจที่จะก้าวเข้าไปหามันอย่างรู้สึกท้าทาย”
ดังนั้นในช่วงถัดมาของชีวิตฉันที่ไหนมีสภาพที่ทำให้ชีวิตจำต้องเผชิญกับความยากลำบาก ฉันกลับรู้สึกว่ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งควรถือว่าเป็นคุณสมบัติของนักสู้อย่างสำคัญที่สุด
ยัง มันยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นั้น ต่อมาเมื่อฉันอายุสิบสองขวบพ่อกับแม่ก็แยกทางกันเดิน หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็แต่งงานใหม่ ทำให้ชีวิตฉันจำต้องตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของแม่เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันเป็นลูกคนโตของแม่เก่า จึงโดนหนักกว่าน้องๆ
ฉันถูกแยกไปอยู่กับพ่อและแม่ของแม่เลี้ยง ทำให้ฉันจำต้องเผชิญกับความยากลำบากหนักมากยิ่งกว่าเก่า จนกระทั่งชีวิตจำต้องเผชิญกับวัณโรคลงปอด แต่ก็ยังโชคดีที่มีคุณหมอประสพ คชภักดี คุณหมอผู้ใจบุญเอาฉันไปรักษาตัวที่ร้านแพทย์ส่วนตัวของท่านจนกระทั่งหายสนิท หลังจากนั้นชีวิตฉันก็หวนกลับมาอยู่ท่ามกลางสภาพของขี้เถ้าและฝุ่นละออง ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตมันทำให้ฉันต้องเป็นวัณโรค แต่ครั้งนี้กลับมีภูมิคุ้มกันแน่นหนายิ่งขึ้นไปกว่าเก่า
ช่วงหลังจากพ่อได้แม่เลี้ยงใหม่แล้วก็ห้ามไม่ให้ฉันไปหาแม่ ซึ่งขณะนั้นแม่ไปอยู่ห้องแถวเล็กๆ ภายในตรอกของอำเภอนางเลิ้ง แต่นั่นแหละ! แม่กับลูกย่อมตัดกันไม่ขาด และฉันก็ไม่ทราบว่าการที่พ่อห้ามไม่ให้ฉันไปหาแม่ มันเกิดจากความคิดใคร และทำไปเพื่ออะไรกัน โดยเฉพาะฉันเป็นลูกคนโต จึงอาจเป็นเป้าหมายของการถูกกีดกันในด้านผลประโยชน์ทางวัตถุ
อยู่มาวันหนึ่งฉันแอบไปหาแม่ตามลำพังแต่ก็อยู่ในสายตาของพี่เลี้ยงที่มารับจ้างเลี้ยงน้อง จึงเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อ หลังจากนั้น พ่อก็เรียกให้ฉันไปหา โดยไปนั่งอยู่ที่ม้าหินข้างถนนภายในบ้าน
พ่อลงโทษฉัน ทั้งตบทั้งเตะ จนกระทั่งทำให้ฉันตกลงไปซุกอยู่ใต้ม้าหิน ฉันต้องรู้สึกขอบคุณพ่อที่สอนให้ฉันเป็นคนมีความอดทนมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า รวมทั้งทนตีนทนมือด้วย
ดูเหมือนมันจะทำให้ฉันรู้สึก “ท้าทาย” ที่จะเผชิญกับความยากลำบาก สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
หลังจากนั้น แม้ชีวิตฉันจะผ่านเข้าไปสู่การเรียนในมหาวิทยาลัย แต่มันก็ไม่เหมือนใคร เพราะความเข้มแข็งที่อยู่ในรากฐานจิตใจฉัน มันกำหนดให้วิถีชีวิตของฉัน เดินทวนกระแสสังคมมาตลอด
แล้วฉันก็ได้พบกับสัจธรรมในหลายๆ เรื่อง อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ฉันได้กลายเป็นคนที่สังคมยอมรับว่ามีความรู้เรื่องคุณธรรมและจริยธรรม


ระพี สาคริก
๑๕ เมษายน ๒๕๕๑

ไม่มีความคิดเห็น: